เข้าใจความหมายของ “อำนาจ” (Powers) อย่างมีกลยุทธ์
ขึ้นชื่อว่ามนุษย์นั้นเป็นสัตว์สังคม ที่ต้องการอยู่รวมกัน เมื่ออยู่รวมกันจึงหนีไม่พ้นการบริหารและการจัดการ เพื่อให้ได้ซึ่งความเป็นระเบียบเรียบร้อยในสังคม การมี อำนาจในการบริหารจัดการจึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เมื่อเรามีสังคม
อำนาจ หรือ POWERS
ในสถานการณ์โดยเท่าไป เราก็จะรู้ดีว่าใครเป็นผู้มีอำนาจ เช่น กรรมการในสนามฟุตบอลผู้ดูแลกติการ ตำรวจจราจรที่มีอำนาจหยุดรถบนท้องถนนดูแลอุบัติเหตุได้ จากความเห็นร่วมกัน แต่การให้คำนิยามของคำว่าอำนาจแท้จริงนั้น ทำได้ยาก! เนื่องจากความแตกต่างกันของวัฒธรรม บริบทของสังคม แต่ก็อาจสรุปได้ว่า กลยุทธ์ของอำนาจที่หมายถึง ความสามารถในการควบคุมพฤติกรรมบุคคล หรือเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งได้ จำแนกเป็น 6 แบบ
อำนาจในการบังคับ
คืออำนาจที่มีรากฐานมาจากความสามารถให้การลงและการข่มขู่ ทั้งแบบยอมรับได้หรือยอมรับไม่ได้ เช่น นายจ้างมีอำนาจและความสามารถในการไล่พนักงาน หรือลูกจ้างออกเมื่อไม่ทำตามกฎ ผู้ก่อการร้ายขู่ว่าจะวางระเบิดห้างสรรพสินค้า เพื่อให้ผู้คนออกไปจากพื้นที่
อำนาจในการให้รางวัล
การครอบครองทรัพยกรที่ได้มามากกว่าผู้อื่นในสังคม ก็สามารถกลายเป็นผู้มีอำนาจได้ โดยสามารถจัดหาทรัพยากรนั้นๆ ที่ตนเองมีอยู่และให้ความหมายของทรัพยากรหรือสิ่งของสิ่งนั้นว่ามีมูลค่ามากและทำให้เป็นรางวัล เพื่อมอบแก่ผู้คนในสังคม เช่น เจ้าของบริษัทให้โบนัสแก่พนักงานเมื่อทำยอดขายได้ตามยอด เพราะมีความสามารถและมีทรัพยกรเงินเหนือลูกน้องเป็นจำนวนมาก
อำนาจที่ชอบธรรม
อำนาจที่มีฐานการยอมรับร่วมกันจากสังคม โดยสังคมเองเป็นผู้กำหนดว่า ใครจะเป็นผู้ได้รับอำนาจและมีความสามารถในการใช้อำนาจนั้น เช่น หน่วยปราบปรามยาเสพติดมีหน้าที่สืบสวน สอบสวนผู้กระทำผิดภายนอกเคหะสถานได้ทันที ครูฝ่ายปกครองที่สามารถตรวจสอบการแต่งกาย ความประพฤติของนักเรียนให้อยู่ในกฎระเบียบของโรงเรียน อำนาจโดยชอบธรรมนี้เองมักจะเป็นอำนาจที่ได้รับความสมัครใจ ไม่จำเป็นต้องข่มขู่ให้กลัว และมักจะยึดโยงกับความถูกต้อง สิ่งที่สังคมเห็นร่วมกันว่าถูกต้องและเป็นธรรม
อำนาจที่มาจากการอ้างอิง
หมายถึงอำนาจที่มาจากความนิยมชมชอบและความเคารพของคนในกลุ่มสังคม ผู้มีอำนาจนี้มักจะเป็นศูนย์กลาง ศูนย์รวมจิตใจและมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อสมาชิกในกลุ่ม หรือเราเรียกง่ายๆ ว่ามันคือ บารมี เสน่ห์ส่วนบุคคล เช่น ความนับถือ คำสอนของพระพุทธเจ้าในศาสนาพุทธ พระเยซู หรือนักธรรมที่ผู้คนไว้วางใจและนับถือ หรือ influencer ที่ได้รับความเชื่อใจจากคนหมู่มาก
อำนาจจากความชำนาญ
ผู้ที่มีความรู้ เชี่ยวชาญ หรือมีความสามารถพิเศษในสายงานนั้นๆ จนสามารถสร้างประโยชน์ได้มากมายในบางเรื่องที่ผู้อื่นไม่สามารถทำได้ เช่น แพทย์พยาบาล วิศวกร นักเศรษฐศาสตร์ ที่มีความสามารถก็จะนำพามาซึ่งอำนาจ เพราะสามารถกำหนดความเป็นความตายของคนได้ กำหนดทิศทางเศรษฐกิจได้ เป็นต้น
อำนาจจากข้อมูล
อำนาจในการเข้าถึงแหล่งข้อมูลมหาศาลที่น่าเชื่อถือ สามารถนำมาวิเคราะห์และโต้แย้ง โน้มน้าวจิตใจให้ผู้อื่นเชื่อได้ อาจไม่ใช่ความสามารถพิเศษเหนือผู้อื่น แต่บางกรณีก็เกิดขึ้นโดยบังเอิญ เช่น การรู้ความลับของผู้อื่น ยกตัวอย่างนักสืบชู้สาว ที่รู้ความลับของ ชายชู้ หลังได้รับการจ้างวานมาให้หาข้อมูลเพื่อทำการฟ้องหย่า
ประเภทของอำนาจ
ประเภทของอำนาจนั้นสามารถแบ่งได้เป็น 2 รูปแบบง่ายๆ คือ อำนาจอย่างอ่อน (Sof Power) และอำนาจอย่างแข็ง (Hard Power)
Joseph Nye เจ้าของแนวคิด Soft Power ได้กล่าวไว้ว่า เมื่อพูดถึงอำนาจนั้น มันหมายถึงการมีอิทธิพลเหนือกว่า เพื่อควบคุม เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของอีกฝ่ายหนึ่งให้เป็นได้อย่างที่เราต้องการ คือ วัฒนธรรม ค่านิยมทางการเมือง และนโยบายต่างประเทศ แนวคิดนี้มีขึ้นในช่วงปลายทศวรรษที่ 1980
ส่วน Hard Power ให้เรียกง่ายๆ ก็คงจะเป็นการใช้ “ไม้แข็ง” เช่น การช่มขู่ด้วยอาวุธ หรือแสนยานุภาพการทำศึกสงคราม ขนาดกองทัพ การใช้เงิน หรืออำนาจทางเศรษฐกิจ ล้วนเข้าข่ายการใช้อำนาจแบบแข็ง
ความแตกต่างระหว่าง Soft Powers & Hard Powers
Soft Power ตามที่กล่าวมาก่อนหน้านี้ เป็นรูปแบบของพลังที่ลึกซึ้ง มันถูกกำหนดให้เป็นวิธีการโน้มน้าวใจต่อความสัมพันธ์ทางการเมืองระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับการใช้อิทธิพลทางวัฒนธรรมประวัติศาสตร์ การทูตของประเทศ
ความสามารถในการดึงดูด และ co-operation แทนการ บีบบังคับ ใช้กำลังหรือจ่ายเงิน เพื่อการโน้มน้าวใจโดยอ้อมเพื่อปรารถนาเป้าหมายและวิสัยทัศน์ นักแสดงของรัฐและไม่ใช่รัฐ เช่น องค์กรระหว่างประเทศใช้ Soft Power เพื่อแสดงความพึงพอใจของพวกเขา Soft Power ของประเทศ ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการใช้ทรัพยากร 3 อย่าง คือ วัฒนธรรม ค่านิยมทางการเมือง และนโยบายต่างๆ เช่น การเข้าร่วมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ
ประเทศที่มีความสามารถในการใช้ Soft Power สูงที่สุด 10 ประเทศแรกในโลก
- เยอรมัน (Germany)
- ญี่ปุ่น (Japan)
- อังกฤษ (United Kingdom)
- แคนาดา (Canada)
- สวิสเซอร์แลนด์ (Switzerland)
- สหรัฐอเมริกา (United States of America)
- ฝรั่งเศส (France)
- จีน (China)
- สวีเดน (Sweden)
- ออสเตรเลีย (Australia)
Hard Power รูปแบบของฮาร์ดพาวเวอร์ คือการข่มขู่ การใช้อำนาจและอิทธิพลทางเศรษฐกิจเพื่อบีบบังคับ เช่น อเมริกาใช้อำนาจทางเศรษฐกิจไม่รับสินค้านำเข้าจากจีน หรือเพิ่มเพดานภาษีเพื่อให้สินค้าจากจีนราคาแพง จนผู้คนไม่อยากนำเข้าสินค้าเนื่องจากราคาแพงกว่าสินค้าในประเทศ การใช้กำลังทางการทหาร เช่น การสนับสนุนอาวุธยุทโธปรกรณ์ ให้กับประเทศที่ทำสงครามระหว่างประเทศ ซึ่งมีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง
จากบทความข้างต้นจะเห็นได้ว่าการใช้อำนาจทั้ง 2 รูปแบบนั้นมีประโยชน์แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับ บริบททางสังคม ค่านิยม และวัฒนธรรม ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการบริหารผู้คนในสังคมทั้งในระดับประเทศและองค์กรทั่วไป
ที่มา : https://en.wikipedia.org/wiki/Soft_power ,
https://www.jagranjosh.com/general-knowledge/list-of-countries-with-the-maximum-soft-power-in-the-world-1616593233-1